เปลวเทียน

เปลวเทียนน้อยน้อยในค่ำคืน เปลวเทียนน้อยน้อยแม้ลมแรงไม่หวั่นไหว เพื่อคนมากมายเพื่อโรคร้ายได้สิ้นไป เพื่อชีวิตที่ฝากไว้ในมือเธอ







วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ฟ้าลิขิตชีวิตเด็กค่ายต่อ

...เช้าวันรุ่งขึ้นชาวค่ายได้เดินทางมาถึงค่าย ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นที่เห็นชาวค่ายหิ้วกระเป๋าลงจากรถเด็กๆก็ดีใจที่เห็นพี่ๆได้เดินทางมาถึง หลังจากนั้นได้เริ่มกิจกรรมบายศรีสู่ขวัญต่อด้วยจับฉลากพ่อฮัก-แม่ฮัก บรรยากาศตอนนี้ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ชาวบ้านมารอรับชาวค่ายเด็กๆนักเรียนนั่งเรียงเป็นแถวตาละห้อย พอถึงเวลาจับฉลากพ่อฮัก-แม่ฮัก ข้าพเจ้าได้มองเห็นแววตาของชาวบ้านที่มองชาวค่ายรู้สึกดีใจมากคิดว่าการอยู่ค่ายครั้งนี้ก็คงจะมีแต่ความสุขความอบอุ่นที่ชาวบ้านจะมอบให้ชาวค่าย แล้วแววตาของเด็กๆที่ตั้งตารอจะได้พี่ฮัก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความรู้สึกของชาวค่ายในครั้งนั้นรู้สึกเหมือนข้าพเจ้าไหม แต่ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนต่างก็ดีใจและประทับใจที่ได้เห็นชาวบ้านและเด็กๆที่ตั้งหน้าตั้งตารอตอนรับเป็นอย่างดี พอตกบ่ายชาวค่ายได้ทำกิจกรรมเข้าฐานสานสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ข้าพเจ้าเสียดายมากที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย เพราะข้าพเจ้ามัวแต่ไปประสานงานข้างนอกแต่มีเพื่อนคนหนึ่งพูดให้ฟังว่า เด็กนักเรียนมาร่วมด้วยเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานและอยากจะบอกว่าไม่มีใครตีกลองเป็น แต่ก็ยังดีที่ยังมีประธานที่จะพอดีได้เข้าจังหวะบ้างไม่เข้าบ้างก็สนุกสนานกันไป เห็นรอยยิ้มของทุกนแล้วมีความสุข พอตกเย็นบรรยากาศอันเปลี่ยวเหงาและหว้าเหว่ก็มาถึงหลังจากทำกิจกรรมร้องเพลงเสร็จทุกคนต่างก็เข้านอน ทันใดนั้นเข้าเจ้าได้มองไปเห็นแสงไฟระยิบระยับในท้องนาตอนแรกข้าพเจ้านึกกลัวว่ามันเป็นแสงไฟอะไร แต่มันเป็นแสงไฟที่สวยงามมากเพราะข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนมันคล้ายๆแสงหิ้งห้อย และสักพักนึ่งมีเพื่อนเดินมาบอกว่า มันเป็นแสงไฟของชาวบ้านที่ออกไปหาจิ้งหรีด หรือภาษาอีสานเรียกว่า ใต้จี๊ดหรีด ที่เรากินกันตอนเที่ยงไง ความกลัวในขณะนั้นก็ได้หายไปกลายเป็นแสงไฟที่มองดูแล้วมีความสุข...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น