เปลวเทียน

เปลวเทียนน้อยน้อยในค่ำคืน เปลวเทียนน้อยน้อยแม้ลมแรงไม่หวั่นไหว เพื่อคนมากมายเพื่อโรคร้ายได้สิ้นไป เพื่อชีวิตที่ฝากไว้ในมือเธอ







วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

สู้เพื่อใคร

เคยคิดอยู่เหมือนกัน... ว่าทุกวันนี้ฉันต่อสู้เพื่อใคร
เพื่อตัวฉันเองใช้ไหม?
หรือเพื่อลมหายใจที่เฝ้ารอ..
สรุปแล้วก็คงเป็นทุกๆ อย่าง
ก็มีบ้างที่ฉันท้อ กับอุปสรรค์มากมาย...ที่เฝ้ารอ
เพราะอะไรคงไม่สำคัญเท่า...
กับการที่เราต้องต่อสู้เพื่อความฝัน
เพื่อทำให้มันเป็นจริงให้ได้...
เพื่อเรา.. เพื่อใคร...บางคนข้างหลังที่คอยชื่นชม

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ฟ้าลิขิตชีวิตเด็กค่ายต่อ

...เช้าวันรุ่งขึ้นชาวค่ายได้เดินทางมาถึงค่าย ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นที่เห็นชาวค่ายหิ้วกระเป๋าลงจากรถเด็กๆก็ดีใจที่เห็นพี่ๆได้เดินทางมาถึง หลังจากนั้นได้เริ่มกิจกรรมบายศรีสู่ขวัญต่อด้วยจับฉลากพ่อฮัก-แม่ฮัก บรรยากาศตอนนี้ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ชาวบ้านมารอรับชาวค่ายเด็กๆนักเรียนนั่งเรียงเป็นแถวตาละห้อย พอถึงเวลาจับฉลากพ่อฮัก-แม่ฮัก ข้าพเจ้าได้มองเห็นแววตาของชาวบ้านที่มองชาวค่ายรู้สึกดีใจมากคิดว่าการอยู่ค่ายครั้งนี้ก็คงจะมีแต่ความสุขความอบอุ่นที่ชาวบ้านจะมอบให้ชาวค่าย แล้วแววตาของเด็กๆที่ตั้งตารอจะได้พี่ฮัก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความรู้สึกของชาวค่ายในครั้งนั้นรู้สึกเหมือนข้าพเจ้าไหม แต่ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนต่างก็ดีใจและประทับใจที่ได้เห็นชาวบ้านและเด็กๆที่ตั้งหน้าตั้งตารอตอนรับเป็นอย่างดี พอตกบ่ายชาวค่ายได้ทำกิจกรรมเข้าฐานสานสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ข้าพเจ้าเสียดายมากที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย เพราะข้าพเจ้ามัวแต่ไปประสานงานข้างนอกแต่มีเพื่อนคนหนึ่งพูดให้ฟังว่า เด็กนักเรียนมาร่วมด้วยเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานและอยากจะบอกว่าไม่มีใครตีกลองเป็น แต่ก็ยังดีที่ยังมีประธานที่จะพอดีได้เข้าจังหวะบ้างไม่เข้าบ้างก็สนุกสนานกันไป เห็นรอยยิ้มของทุกนแล้วมีความสุข พอตกเย็นบรรยากาศอันเปลี่ยวเหงาและหว้าเหว่ก็มาถึงหลังจากทำกิจกรรมร้องเพลงเสร็จทุกคนต่างก็เข้านอน ทันใดนั้นเข้าเจ้าได้มองไปเห็นแสงไฟระยิบระยับในท้องนาตอนแรกข้าพเจ้านึกกลัวว่ามันเป็นแสงไฟอะไร แต่มันเป็นแสงไฟที่สวยงามมากเพราะข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนมันคล้ายๆแสงหิ้งห้อย และสักพักนึ่งมีเพื่อนเดินมาบอกว่า มันเป็นแสงไฟของชาวบ้านที่ออกไปหาจิ้งหรีด หรือภาษาอีสานเรียกว่า ใต้จี๊ดหรีด ที่เรากินกันตอนเที่ยงไง ความกลัวในขณะนั้นก็ได้หายไปกลายเป็นแสงไฟที่มองดูแล้วมีความสุข...

ฟ้าลิขิตชีวิตเด็กค่าย

....วันเวลาก็มาถึง หลังจากวันที่สอบปลายภาคเสร็จ(8 มี.ค. 53) ข้าพเจ้าก็เก็บข้าวของเพื่อที่จะไปเตรียมค่ายในครั้งนี้ เพื่อนๆทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกับการไปค่ายครั้งนี้เพราะส่วนมากจะเป็นการไปค่ายครั้งแรก ครั้งแรกที่ข้าพเจ้ามองเห็นเพื่อนๆรอขึ้นรถหน้าหอ มันทำให้ใจขอข้าพเจ้าสั่นที่เห็นเพื่อนๆพร้อมที่จะไปจริงๆ ทุกคนต่างเก็บข้าวของขึ้นรถพร้อมที่จะออกเดินทาง ช่วงเวลาในการเดินทางเพื่อนๆต่างก็ร้องเพลงอย่าสนุกสนาน และข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าบนรถมีกีตาร์ กลอง แต่ไม่มีใครเล่นเป็นสักกะคนเลย พอร้องเพลงไปนานๆเพื่อนบางคนบ้างก็หลับๆตื่นเพราะเสียงเพลงที่เพื่อนร้อง ทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ากับการนั่งรถพอถึงค่ายทุกคนต่างก็ดีใจ เย้เราถึงซะที! ทุกคนต่างแยกย้ายทำภาระกิจส่วนตัว ในช่วงเวลาในการเตรียมค่ายสามวันนี้มีอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ เรื่องประสานงาน ส่วนเรื่องงบประมาณในการเตรียมค่ายในครั้งนี้เราได้ใช้งบที่ทางชมรมพอมีอยู่เพราะงบประมาณยังไม่ได้ปัญหาก็เริ่มเข้ามา เงินที่จะใช้ซื้อของก็ไม่เพียงพอเราได้แต่แก้ไขเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆจนถึงวันเริ่มค่ายวันแรก พอมาวันหนึ่งเพื่อนบอกว่าเงินเข้าบัญชีแล้วมันทำให้สิ่งที่เคยกลุ้มใจได้หายไป....

สุขที่ได้ให้

สิ่งเล็กๆที่ได้ทำ

ความสุขเล็กๆ

เพื่อนๆต่างสถาบัน

ค่าย 4 ภาค

รณรงค์ปัญหารเรื่องเขื่อน

ค่ายที่เชียงของ

การแสดงของภาคอีสาน

คิดถึงกันบ้างไหม